เมนู

อรรถกถาโปสาลมาณวกปัญหานิทเทสที่ 14


พึงทราบวินิจฉัยในโปสาลสูตรที่ 14 ดังต่อไปนี้.
บทว่า โย อตีตํ อาทิสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดทรงแสดง
อดีต คือทรงแสดงอดีต มีอาทิว่าชาติหนึ่งบ้างของพระองค์และของสัตว์
เหล่าอื่น.
บทว่า เอกมฺปิ ชาตึ ชาติหนึ่งบ้าง คือขันธสันดานหนึ่งบ้าง อันมี
ปฏิสนธิเป็นต้น มีจุติเป็นปริโยสานอันนับเนื่องในภพหนึ่ง. ในบท
ทั้งหลายมีอาทิว่า สองชาติ บ้างก็มีนัยนี้. อนึ่ง พึงทราบความในบท
ทั้งหลายมีอาทิว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ดังต่อไปนี้ กัปกำลังเสื่อม ชื่อว่า สังวัฏฏกัป เพราะในกาลนั้นสัตว์ทั้งปวง
จะไปรวมกันอยู่ในพรหมโลก. กัปกำลังเจริญชื่อว่า วิวัฏฏกัป เพราะในกาล
นั้น สัตว์ทั้งหลายกลับจากพรหมโลก. ในบทนั้น เป็นอันถือเอาการตั้งอยู่
แห่งสังวัฏฏกัปด้วยสังวัฏฎกัป. และเป็นอันถือเอาการตั้งอยู่แห่งวิวัฏฏกัป
ด้วยวิวัฏฏกัป. เพราะปฏิสนธินั้นเป็นต้นเหตุ. ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสงไขยกัปเหล่านี้มี 4 อย่าง
คือสังวัฏฏกัป 1 สังวัฏฏัฏฐายี 1 วิวัฏฏกัป 1 วิวัฏฏัฏฐายี 1. เป็นอัน
กำหนดเอาอสงไขยกัปเหล่านั้น. อนึ่ง ในบทว่า สงฺวฏฺฏกปฺเป วิวฏฏกปฺเป
ท่านกล่าวถือเอากึ่งหนึ่งของกัป. ในบทว่า สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป ท่าน
กล่าวถือเอาตลอดกัป. หากถามว่า ระลึกถึงอย่างไร. ตอบว่า ระลึกถึง
โดยนัยมีอาทิว่า อมุตฺราสึ คือ ในภพโน้น. บทว่า อมุตฺราสึ ความว่า
เราได้มีแล้วในสังวัฏฏกัปโน้น ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส

สัตตนิกายโน้น. บทว่า เอวนฺนาโม มีชื่ออย่างนั้น คือชื่อ ติสสะหรือ
ปุสสะ. บทว่า เอวํโคตฺโต มีโคตรอย่างนั้น คือกัจจานโคตรหรือกัสสป-
โคตร. บทนี้ท่านกล่าวด้วยการระลึกถึง ชื่อและโคตรของตนในภพอดีต
และของผู้นั้น. ก็หากว่าในกาลนั้นประสงค์จะระลึกถึง วรรณสมบัติก็ดี
ความเป็นผู้มีชีวิตหยาบและประณีตก็ดี ความเป็นผู้มากด้วยสุขและทุกข์ก็ดี
ความเป็นผู้มีอายุน้อยและอายุยืนก็ดี ย่อมระลึกถึงแม้ข้อนั้นได้. ด้วยเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เอวํวณฺโณ. . . . เอวมายุปริยนฺโต
ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํวณฺโณ มีผิวพรรณอย่างนี้ คือมีผิวขาว
หรือผิวคล้ำ. บทว่า เอวมาหาโร มีอาหารอย่างนี้ คือมีข้าวสาลี เนื้อ
ข้าวสุกเป็นอาหาร หรือมีผลไม้ที่หล่นเองเป็นของบริโภค. บทว่า เอวํ-
สุขทุกฺขปฏิสํเวที
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น คือเสวยสุขและทุกข์อันเป็น
ไปทางกาย เป็นไปทางจิตโดยประการไม่น้อย หรือมีประเภทมีอามิส
และไม่มีอามิส. บทว่า เอวมายุปริยนฺโต มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ คือ
มีกำหนดอายุประมาณ 120 ปี หรือ 84,000 กัป. บทว่า โส ตโต
จุโต อมุตฺร อุทปาทึ
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพโน้น คือเรา
ครั้นจุติจากภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือสัตตนิกายนั้น
แล้ว ได้มาเกิดในภพ คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือสัตตนิกายโน้น.
บทว่า ตตฺราปาสึ แม้ในภพนั้น คืออีกอย่างหนึ่ง เราได้มีแล้วในภพ
กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือสัตตนิกายแม้นั้นอีก. บทมีอาทิว่า
เอวนฺนาโม มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. อีกอย่างหนึ่ง เพราะบทว่า
อมุตฺราสึ นี้ เป็นการระลึกถึงตลอดเวลาที่ต้องการของผู้ขึ้นไปโดยลำดับ.

บทว่า โส ตโต อุโต เป็นการพิจารณาของผู้ที่กลับ ฉะนั้น บทว่า
อิธูปปนฺโน เกิดแล้วในที่นี้ คือเราจุติจากที่เกิดอันหาที่สุดมิได้นั้นแล้ว
บังเกิดในตระกูลกษัตริย์ หรือในตระกูลพราหมณ์ชื่อโน้นนี้. บทว่า อิติ
คือ ด้วยประการฉะนี้. บทว่า สาการํ สอุทฺเทสํ พร้อมทั้งอาการ
พร้อมทั้งอุเทศ คือพร้อมทั้งอุเทศด้วยอำนาจชื่อและโคตร พร้อมทั้ง
อาการด้วยอำนาจผิวพรรณเป็นต้น. เพราะว่าสัตว์ย่อมแสดงโดยชื่อและ
โคตรว่า ติสสะ กัสสปะ ดังนี้ แสดงโดยผิวพรรณเป็นต้นว่า คล้ำ ขาว
ดังนี้ ย่อมปรากฏโดยความต่าง ๆ กัน เพราะฉะนั้น ชื่อและโคตรเป็น
อุเทศ นอกนั้นเป็นอาการ. บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ คือ ขันธ์ที่อยู่อาศัยใน
อดีตชาติเป็นต้น ในกาลก่อนชื่อว่า ปุพเพนิวาส. บทว่า นิวุฏฺฐา คือ
อยู่อาศัย ได้เสวยผล คือเกิดขึ้นในสันดานของตนแล้วดับไป หรือมีการ
อยู่อาศัยเป็นธรรมดา. บทว่า นิวุฏฺฐา คือ อยู่อาศัย อยู่ได้ด้วยอาหาร
กำหนดรู้ด้วยวิญญาณของตน แม้รู้ด้วยวิญญาณของผู้อื่น ย่อมได้แก่
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ในการระลึกถึงทางอันตัดแล้ว. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดง ทรงกล่าวถึงปุพเพนิวาสนั้น.
บทว่า ปเรสํ อตีตํ อดีตของผู้อื่น คือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงถึงปุพเพนิวาสของบุคคลอื่นเหล่าอื่น โดยนัยมีอาทิว่า เอกมฺปิ ชาตึ
ดังนี้. บทว่า มหาปทานิยสุตฺตนฺตํ คือ มหาปทานสูตร แสดงพระประวัติ
ของพระมหาบุรุษทั้งหลาย. บทว่า มหาสุทสฺสนิยํ คือ มหาสุทัสสนสูตร
แสดงถึงสมบัติของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ. บทว่า มหาโควินฺทิยํ คือ
มหาโควินทสูตร แสดงถึงเรื่องราวของพราหมณ์ชื่อว่า มหาโควินทะ. บท
ว่า มฆเทวินฺทิยํ คือ มฆเทวสูตร แสดงประวัติของท้าวมฆเทพ.

บทว่า สตานุสารีญาณํ โหติ ญาณอันตามระลึกชาติ คือญาณที่
สัมปยุตด้วยปุพเพนิวาสานุสสติญาณ. บทว่า ยาวตกํ อากงฺขติ ตถาคต
หวังจะรู้ชาติก่อนเท่าใด คือตถาคตปรารถนาจะรู้ชาติก่อนเท่าใด ก็ส่ง
ญาณไปว่า เราจักรู้ชาติก่อนเท่านั้น. ลำดับนั้นญาณของพระตถาคตย่อม
แล่นไปไม่มีอะไรกระทบ ไม่มีอะไรกั้น ดุจน้ำมันมะกอกไหลเข้าไปในห่อ
ใบไม้แห้ง. ด้วยเหตุนั้น พระตถาคตย่อมทรงระลึกถึงชาติก่อนได้เท่าที่
ทรงหวัง. บทว่า โพธิชํ คือ เกิด ณ ควงต้นโพธิ. บทว่า ญาณํ
อุปฺปชฺชติ คือ ญาณในมรรค 4 ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า อยมนฺติมา ชาติ
ชาตินี้มีในที่สุด คือชาตินี้มีในที่สุด เพราะละต้นเหตุของชาติได้ด้วยญาณ
นั้น แม้ญาณอื่น ๆ ก็เกิดขึ้นอีกว่า บัดนี้มิได้มีภพต่อไป.
ในบทว่า อินฺทริยปโรปริยตฺตญาณํ นี้ การนำบทว่า สตฺตานํ
มาประกอบข้างหน้าเป็น สตฺตานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ คือ ญาณ
เครื่องกำหนดรู้ความยิ่งความหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย. เมื่อ
ควรจะกล่าวว่า ปรานิ จ อปรานิ จ ปราปรานิ ความยิ่งและความหย่อน
ท่านลง โร อักษรด้วยบทสนธิ กล่าวว่า ปโรปรานิ. ความเป็นแห่ง
ความยิ่งและความหย่อน ชื่อว่า ปโรปริยํ. ความเป็นแห่งความยิ่งและ
ความหย่อนนั่นแล ชื่อว่า ปโรปริยตฺตํ. ความยิ่งและความหย่อนแห่ง
อินทรีย์ทั้งหลาย 5 มีสัทธินทรีย์เป็นต้นของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า
อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ. ญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและความหย่อนแห่ง
อินทรีย์ ชื่อว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ. อธิบายว่า ญาณเครื่อง
กำหนดรู้ความสูงและความต่ำของอินทรีย์ทั้งหลาย.

อีกอย่างหนึ่ง ปรานิ จ โอปรานิ จ ปโรปรานิ ความยิ่งและความ
หย่อน ชื่อว่า ปโรปรานิ ความเป็นแห่งความยิ่งและความหย่อนเหล่านั้น
ชื่อว่า ปโรปริยํ. ท่านอธิบายว่า โอปรานิ ความหย่อน คือ โอรานิ
คือ ความหย่อน (ความต่ำ). อธิบายว่า ลามก. ดุจในประโยคมีอาทิว่า
ได้รู้ธรรมลามก. ปาฐะใช้เป็นสัตตมีวิภัตติว่า อินฺทริยปโรปริยตฺเต ญาณํ
ญาณกำหนดรู้ในความยิ่งและความหย่อนของอินทรีย์ก็มี. บทว่า ตถา-
คตสฺส
คือ เสด็จมาเหมือนอย่างท่านผู้แสวงคุณแต่ก่อน มีพระวิปัสสี
เป็นต้นเสด็จมาแล้ว. อนึ่ง เสด็จไปเหมือนท่านผู้แสวงคุณเหล่านั้นเสด็จ
ไปแล้ว. บทว่า ตถาคตพลํ เป็นกำลังของพระตถาคต คือเป็นกำลัง
ของพระตถาคตเท่านั้นไม่ทั่วไปด้วยบุคคลเหล่าอื่น. อธิบายว่า เป็นกำลัง
มาแล้วเหมือนอย่างกำลังของพระพุทธเจ้าแต่ก่อน ด้วยการถึงพร้อมด้วย
การสะสมบุญบ้าง.
กำลังของพระตถาคตมีสองอย่างคือ กายพลํ (กำลังพระกาย) 1
ญาณพลํ (กำลังพระญาณ) 1. ในพระกำลังเหล่านั้น พึงทราบกำลัง
พระกายด้วยระลึกถึงตระกูลช้าง. โบราณาจารย์กล่าวได้ดังนี้ว่า
ตระกูลช้าง 10 ตระกูล คือตระกูลช้างกาฬาวกะ 1
คังเคยยะ 1 ปัณฑระ 1 ตัมพะ 1 ปิงคละ 1 คันธะ 1
มังคละ 1 เหมะ 1 อุโปสถะ 1 ฉัททันตะ 1.

กำลังของช้างพันโกฏิด้วยจำนวนช้างปกติ ของบุรุษหมื่นโกฏิด้วย
จำนวนบุรุษ นี้เป็นกําลังพระกายของพระตถาคต. แต่กําลังพระญาณมา
แล้วในมหาสีหนาทสูตร คือทศพลญาณ จตุเวสารัชชญาณ (ญาณทำความ
กล้าหาญ 4) ญาณไม่ทรงหวั่นไหวในบริษัท 8 ญาณกำหนดกำเนิด 4

ญาณกำหนดคติ 5. พระญาณพันหนึ่งเป็นอันมากแม้เหล่าอื่นอย่างนี้ คือ
ญาณ 73 ญาณ 77 มาแล้วในสังยุตตนิกาย นี้ชื่อว่า กำลังพระญาณ.
ในที่นี้ประสงค์กำลังพระญาณเท่านั้น. เพราะพระญาณท่านกล่าวว่าเป็น
พละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว และเพราะอรรถว่า ค้ำจุน.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สตฺตานํ อาสยานุสเย ญาณํ ความรู้
อัธยาศัย และกิเลสอันนอนเนื่องในสันดานของสัตว์ ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า
สตฺตา (สัตว์ทั้งหลาย) เพราะเป็นผู้ข้อง คือติดในขันธ์ทั้งหลายมีรูป
เป็นต้นด้วยฉันทราคะ. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนราธะ
ผู้ข้องผู้ติดในความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ความอยากในรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่า สัตว์. แต่นักคิดอักษรไม่
พิจารณาถึงความต้องการเพียงชื่อ. ผู้ใดพิจารณาถึงความ ผู้นั้นย่อมต้อง
การบทว่า สตฺตา ด้วยสัตตศัพท์. แห่งสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น. ชื่อว่า
อาสย เพราะเป็นที่มานอนอาศัยของสัตว์ทั้งหลาย. บทนี้เป็นชื่อของ
จิตตสันดานของสัตว์ที่อบรมด้วยมิจฉาทิฏฐิบ้าง สัมมาทิฏฐิบ้าง กาม
เป็นต้นบ้าง ออกจากกามเป็นต้นบ้าง. ชื่อว่า อนุสย เพราะกิเลสทั้งหลาย
นอนตาม เข้าไปติดตามสันดานของสัตว์. บทนี้เป็นชื่อของกามราคะ
เป็นต้น อันถึงซึ่งกำลัง. อาสย และ อนุสย ชื่อว่า อาสยานุสโย.
พึงทราบว่าเป็นคำเดียวกัน ด้วยถือกำเนิดและด้วยทวันทวสมาส (สมาสคู่)
เพราะจริตและอัธยาศัยสงเคราะห์เข้าในอาสยะและอนุสยะ ฉะนั้น ญาณใน
จริตและอัธยาศัย ท่านสงเคราะห์ลงในอาสยานุสยญาณนั่นเอง จึงกล่าวว่า
อาสยานุสเย ญาณํ ความรู้ในอัธยาศัยและกิเลสอันนอนเนื่องอยู่ใน
สันดาน.

พึงทราบความในบทนี้ว่า ยมกปาฏิหิเร ญาณํ ญาณในยมก-
ปาฏิหาริย์ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า ยมกํ เป็นคู่ เพราะกองไฟและสายน้ำ
เป็นต้น เป็นไปคราวเดียวกันไม่ก่อนไม่หลัง. ชื่อว่า ปาฏิหิรํ เพราะนำ
ปฏิปักขธรรม มีความเป็นผู้ไม่เชื่อเป็นต้นออกไป. ชื่อว่า ยมกปาฏิหิรํ
เพราะนำปฏิปักขธรรมออกไปเป็นคู่.
พึงทราบความในบทนี้ว่า มหากรุณาสมาปตฺติยา ญาณํ ญาณใน
มหากรุณาสมาบัติ ดังต่อไปนี้. ชื่อว่า กรุณา เพราะเมื่อทุกข์ของคนอื่น
มีอยู่ ย่อมทำความหวั่นไหวในหทัยเพื่อคนดีทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า กรุณา เพราะกำจัดทุกข์ของคนอื่นให้หมดสิ้นไป. หรือชื่อว่า
กรุณา เพราะช่วยเหลือให้เขาพ้นจากทุกข์. ความกรุณาใหญ่ด้วยการทำ
การแผ่ไป หรือด้วยคุณธรรม ชื่อว่า มหากรุณา. ชื่อว่า สมาปตฺติ
เพราะเป็นผู้มีมหากรุณาถึงพร้อม. ชื่อว่า มหากรุณาสมาปตฺติ เพราะมี
มหากรุณาแล้วเข้ามหากรุณาสมาบัตินั้น หรือญาณสัมปยุตด้วยมหากรุณา
นั้นในมหากรุณาสมาบัตินั้น.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพญฺญุตญาณํ อนาวรณญาณํ (ญาณ
ไม่มีอะไรกั้น) ดังนี้ต่อไป. ชื่อว่า สพฺพญฺญู เพราะรู้ทั่วถึงทุกสิ่งอัน
เป็นทางที่ควรแนะนำ 5 ประการ. ความเป็นแห่งพระสัพพัญญูนั้น ชื่อว่า
สพฺพญฺญุตา. ญาณคือความเป็นพระสัพพัญญูนั่นแล ชื่อว่า สพฺพญฺญุต-
ญาณํ.
เมื่อควรจะกล่าวว่า สพฺพญฺญุตาญาณํ แต่กล่าวทำให้มีเสียงสั้นว่า
สพฺพญฺญุตญาณํ. จริงอยู่ ธรรมทั้งหมดมีประเภทเป็นต้นว่า สังขตธรรม
และอสังขตธรรม เป็นทางที่ควรแนะนำ 5 ประการคือ สังขาร 1 วิการ 1
ลักษณะ 1 นิพพาน 1 บัญญัติ 1. ความกั้นญาณนั้นไม่มี เพราะเนื่อง

ด้วยเป็นอาวัชชนะ เพราะฉะนั้น ญาณนั้นนั่นแลจึงเรียกว่า อนาวรณญาณ.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพตฺถ อสงฺคมปฺปฏิหตมนาวรณญาณํ
อนาวรณญาณอันไม่ข้อง ไม่มีอะไรขัดในกาลทั้งปวง ดังต่อไปนี้ ญาณ
ปราศจากการกั้น ไม่ข้อง ปราศจากการข้อง ไม่ขัด ปราศจากการขัด
ปราศจากการเป็นปฏิปักษ์เป็นไปแล้วในอดีต อนาคต และปัจจุบัน.
บทว่า อนาคตมฺปิ อาทิสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงแม้
อนาคต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ในภัทรกัปนี้ได้มีพระพุทธเจ้า 3
พระองค์แล้ว ปัจจุบันนี้เราเป็นสัมมาสัมพุทธะองค์ที่ 4 และต่อไปจักมี
พระเมตไตรยเป็นองค์ที่ 5. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุได้แปด-
หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรยจักอุบัติในโลก เป็นพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ. ดูก่อนภิกษุทั้ง-
หลาย ครั้งนั้นแล พระราชาพระนามว่าสังขะ จักรับสั่งให้ยกเสาบูชายัญที่
พระราชาพระนามว่ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ ทรงครองราชสมบัติ ทรง
กำจัดศัตรู สละพระราชทรัพย์ ทรงถวายทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า
คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย แล้วทรงปลงผมและหนวดนุ่งห่ม
ผ้ากาสายะ เสด็จออกทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงบอกอนาคตของพระเทวทัตเป็นต้น
โดยนัยมีอาทิว่า ในอนาคตเทวทัตจักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า
อัฏฐิสสระ และสุมนมาลาการจักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า สุมนิสสระ.
บทว่า ปจฺจุปนฺนมฺปิ อาทิสติ ทรงแสดงแม้ปัจจุบันนี้ชัดดีแล้ว.
บทว่า วิภูตรูปสญฺญิสฺส คือ ผู้มีรูปสัญญาอันผ่านไปแล้ว. บทว่า
สพฺพกายปฺปหายิโน ผู้ละกายทั้งหมดแล้ว คือละรูปกายทั้งหมดด้วย

ตทังคะ และวิกขัมภนะ อธิบายว่า ละปฏิสนธิในรูปภพได้แล้ว. บทว่า
นตฺถิ กิญฺจีติ ปสฺสโต เห็นอยู่ว่า ไม่มีอะไร คือเห็นอยู่ว่า ไม่มีอะไร
ด้วยเห็นความไม่มีแห่งวิญญาณ. ท่านกล่าวว่า เป็นผู้ได้อากิญจัญญายตน-
สมาบัติ. โปสาลมาณพทูลเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สักกะ ในบทว่า
ญาณํ สกฺกานุปุจฺฉามิ ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณ.
ต้องการคำพูดว่า ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของบุคคลนั้น. บทว่า
กถํ เนยฺโย คือ บุคคลนั้นควรแนะนำอย่างไร. ควรให้เกิดญาณยิ่งขึ้น
แก่เขาอย่างไร.
บทว่า รูปสญฺญา ในบทนี้ว่า กตมา รูปสญฺญา รูปสัญญาเป็นไฉน
ท่านกล่าวรูปาวจรฌาน และอารมณ์ของรูปาวจรฌานนั้น ด้วยหัวข้อว่า
สญฺญา. จริงอยู่ แม้รูปาวจรฌานท่านก็กล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า
รูปี รูปานิ ปสฺสติ ผู้มีรูปย่อมเห็นรูป. แม้อารมณ์ของรูปาวจรฌานนั้น
(ก็ชื่อว่ารูป) ในคำเป็นต้นว่า ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปภายนอก มีผิวพรรณดี
และมีผิวพรรณทราม. เพราะฉะนั้น บทว่า รูปสญฺญา นี้ จึงเป็นชื่อ
ของรูปาวจรฌานด้วยหัวข้อว่า สญฺญา อย่างนี้ว่า ความสำคัญในรูปนี้
ชื่อว่ารูปสัญญา. ชื่อว่า รูปสญฺญา เพราะรูปมีสัญญา. ท่านกล่าวว่ารูป
เป็นชื่อของรูปาวจรฌานนั้น. อนึ่ง พึงทราบว่า บทว่า รูปสญฺญา นี้
เป็นชื่อของอารมณ์ของรูปาวจรฌานนั้น มีประเภทเป็นต้นว่าปฐวีกสิณ
ด้วยประการฉะนี้. แต่ในที่นี้ประสงค์เอารูปสัญญาอันได้แก่ (รูป)ฌาน 15
ด้วยอำนาจแห่งกุศล วิบาก และกิริยา. บทว่า รูปาวจรสมาปตฺตึ สมา-
ปนฺนสฺสวา
ของบุคคลผู้เข้ารูปาวจรสมาบัติ คือเข้าถึงกุศลฌานอันเป็น
รูปาวจรสมาบัติ. บทว่า อุปฺปนฺนสฺส วา คือ เกิดขึ้นแล้วในภพนั้นด้วย

อำนาจแห่งวิปากฌาน. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาริสฺส วา หรือของบุคคล
ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือผู้ยังสุขอันเป็นกิริยาฌาน
สมาบัติให้เกิดขึ้นอยู่ในอัตภาพนี้อยู่แล้ว.
บทว่า อรูปสมาปตฺติโย ได้แก่ อากาสานัญจายตนสมาบัติเป็นต้น.
บทว่า ปฏิลทฺธสฺส ได้แล้ว คือให้เกิดขึ้นดำรงอยู่แล้ว. บทว่า รูปสญฺญา
วิภูตา โหนฺติ
คือ ปราศจากรูปสัญญา. บทว่า วิคตา คือ หมดไปแล้ว.
ปาฐะว่า วิภาวิตา1 บ้างดังนี้. บทว่า ตทงฺคสมติกฺกมา คือ ด้วยการ
ก้าวล่วงด้วยตทังคปหาน. บทว่า วิกฺขมฺภนปฺปหาเนน ปหีโน ละแล้ว
ด้วยวิกขัมภนปหาน คือละด้วยการข่มไว้ด้วยได้อรูปฌาน. บทว่า ตสฺส
รูปกาโย
คือ รูปาวจรกายของบุคคลผู้ได้อรูปสมาบัตินั้น.
พึงทราบความในบทนี้ว่า อากิญฺจญฺญายตนํ ดังต่อไปนี้. ชื่อว่า
อกิญฺจนํ เพราะไม่มีอะไร ในฌานนี้. ท่านกล่าวว่า ไม่มีอะไรเหลืออยู่
โดยที่สุดแม้เพียงในภังคขณะ. ความเป็นแห่งความไม่มีอะไร ชื่อว่า
อากิญฺจญฺญํ. บทนี้เป็นชื่อของการปราศจากวิญญาณ ในอากาสานัญ-
จายตนสมาบัติ. อากิญจัญญะนั้น ชื่อว่า อากิญฺจญฺญายตนํ เพราะเป็น
เครื่องสืบต่อแห่งสัญญานี้ด้วยการอธิษฐาน. คำว่า อากิญจัญญายตนะ
นี้ เป็นชื่อของฌาน อันมีอารมณ์ปราศจากวิญญาณอันเป็นไปแล้วใน
ความว่าง. บทว่า วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺตึ สโต สมาปชฺชิตฺวา
คือ มีสติเข้าถึงวิญญาณัญจายตนสมาบัตินั้น. บทว่า สโต วุฏฺฐหิตฺวา
มีสติออก คือเป็นผู้มีสติออกจากสมาบัตินั้น. บทว่า ตญฺเญว วิญฺญาณํ
คือ วิญญาณอันเป็นมหัคคตะอันเป็นไปแล้วในความว่าง. บทว่า อภาเวติ
1. ม. อภาวิตาติปิ.

คือ ให้พินาศไป. บทว่า วิภาเวติ คือ ให้พินาศไปโดยวิธีต่าง ๆ.
บทว่า อนฺตรธาเปติ คือ ให้ถึงความไม่เห็น. บทว่า กถํ โส เนตพฺโพ
บุคคลนั้นควรแนะนำอย่างไร คือควรรู้โดยประการไร. บทว่า วิเนตพฺโพ
ควรแนะนำให้วิเศษ คือควรรู้โดยวิธีต่าง ๆ. บทว่า อนุเนตพฺโพ ควร
ตามแนะนำ คือควรให้จิตถึงถ้อยคำบ่อย ๆ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงประกาศความที่ญาณของ
พระองค์ไม่ถูกกระทบในบุคคลเช่นนั้นแก่โปสาลมาณพ จึงตรัสคาถาเพื่อ
ทรงพยากรณ์นั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิญฺญาณฏฺฐิติโย สพฺพา อภิชานํ ตถาคโต
คือ ตถาคตรู้ยิ่งซึ่งวิญญาณฐิติ (ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ) ทั้งปวงอย่างนี้
ว่า วิญญาณฐิติ 4 ด้วยสามารถแห่งอภิสังขาร วิญญาณฐิติ 7 ด้วยสามารถ
แห่งปฏิสนธิ. บทว่า ติฏฺฐนฺตเมนํ ชานาติ คือ ย่อมรู้จักบุคคลนั้นเมื่อ
ตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งอภิสังขารคือกรรมว่า บุคคลนี้จักมีคติอย่างนี้ดังนี้.
บทว่า วิมุตฺตํ พ้นวิเศษแล้ว คือน้อมไปแล้วในอากิญจัญญายตนสมาบัติ
เป็นต้น. บทว่า ตปฺปรายนํ มีสมาบัตินั้นเป็นเบื้องหน้า คือสำเร็จด้วย
สมาบัตินั้น.
บทว่า วิญฺญาณฏฺฐิติโย ความว่า ที่ตั้งแห่งปฏิสนธิวิญญาณ. คือ
สวิญญาณกขันธ์นั้นแล(ขันธ์มีวิญญาณ). ในบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถาปิ
เป็นนิบาตลงในอรรถแสดงตัวอย่าง. บทว่า มนุสฺสา คือ มนุษย์มากมาย
แม้ในจักรวาลอันหาประมาณมิได้ย่อมไม่มี มนุษย์สองคนเหมือนเป็นอย่าง
เดียวกันด้วยผิวพรรณและทรวดทรงเป็นต้น. แม้มนุษย์เหล่าใดมีผิวพรรณ
หรือทรวดทรงเหมือนกัน มนุษย์เหล่านั้นก็ไม่เหมือนกันด้วยการแลการ

เหลียวเป็นต้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีกายต่าง ๆ กัน. ส่วน
ปฏิสนธิสัญญาของสัตว์เหล่านั้นเป็นติเหตุกะบ้าง ทุเหตุกะบ้าง อเหตุกะ-
บ้าง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีสัญญาต่าง ๆ กัน. บทว่า
เอกจฺเจ จ เทวา ได้แก่ เทพชั้นกามาวจร 6 ชั้น. จริงอยู่ บรรดา
เทพเหล่านั้น บางพวกมีกายเขียว บางพวกมีผิวพรรณเหลืองเป็นต้น.
แต่สัญญาของเทพเหล่านั้น เป็นติเหตุกะบ้าง ทุเหตุกะบ้าง เป็นอเหตุกะ
ไม่มี. บทว่า เอกจฺเจ จ วินิปาติกา วินิปาติกะ (ผู้ตกไปในอบาย)
บางพวก คือเวมานิกเปรตเหล่าอื่นมีอาทิอย่างนี้ คือยักษิณีผู้เป็นมารดา
ของปุนัพพสุ ยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ ยักษิณีผู้เป็นมิตรของ
ปุสสะผู้ยินดีในธรรม พ้นจากอบาย 4. ร่างกายของเวมานิกเปรตเหล่านั้น
ต่าง ๆ กันด้วยสี มีผิวขาว ดำ ผิวทอง และสีนิลเป็นต้น ด้วยลักษณะมี
ผอม อ้วน เตี้ย สูง. แม้สัญญาก็ต่างกันด้วยสามารถแห่งติเหตุกะ ทุเหตุกะ
และอเหตุกะ เหมือนของมนุษย์ทั้งหลาย. แต่เวมานิกเปรตเหล่านั้นไม่มี
ศักดิ์มากเหมือนทวยเทพ มีศักดิ์น้อยเหมือนคนจนหาของกินและเครื่อง
ปกปิดได้ยาก ถูกทุกข์บีบคั้นอยู่. บางพวกได้รับทุกข์ในข้างแรม ได้รับ
สุขในข้างขึ้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า วินิปาติกะ เพราะตกไป
จากการสะสมความสุข. แต่เวมานิกเปรตที่เป็นติเหตุกะ ย่อมเป็นผู้บรรลุ
ธรรมได้ดุจการบรรลุธรรมของยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระเป็นต้น.
บทว่า พฺรหฺมกายิกา พวกเทพนับเนื่องในหมู่พรหม ได้แก่ พรหม-
ปาริสัชชะ พรหมปุโรหิตะและมหาพรหม. บทว่า ปฐมานิพฺพตฺตา ผู้
เกิดในภูมิปฐมฌาน คือหมู่พรหมทั้งหมดนั้นเกิดด้วยปฐมฌาน. แต่
พรหมปาริสัชชะเกิดด้วยปริตตฌาน พรหมปุโรหิตะเกิดด้วยมัชฌิมฌาน.

อนึ่ง กายของพรหมเหล่านั้นมีรัศมีซ่านออกไป. มหาพรหมเกิดด้วย
ปณีตฌาน. แต่กายของมหาพรหมมีรัศมีซ่านออกไปยิ่งกว่า. เพราะฉะนั้น
พรหมเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน
เพราะมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกันด้วยอำนาจปฐมฌาน. สัตว์
ทั้งหลายในอบาย 4 ก็เหมือนเทพเหล่านั้น. เพราะในนรก สัตว์นรก
บางพวกมีร่างกายคาวุตหนึ่ง บางพวกกึ่งโยชน์ บางพวก 3 คาวุต. ส่วน
ของเทวทัตมีร่างกาย 100 โยชน์. แม้ในเดียรัจฉานบางพวกก็เล็ก บางพวก
ก็ใหญ่. แม้ในเปรตวิสัย บางพวก 60 ศอก บางพวก 80 ศอก
บางพวกผิวพรรณงาม บางพวกผิวพรรณซูบซีด. อนึ่ง แม้กาลกัญชิกาสูร
ก็สูง 10 โยชน์ ชื่อว่าทีฆปิฏฐิกเปรต (เปรตมีหลังยาว). แต่สัญญา
ของสัตว์นรกทั้งหมด เป็นอกุศลวิบาก เป็นอเหตุกะ. ด้วย ประการฉะนี้
แม้สัตว์ในอบายก็เรียกได้ว่ามีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน.
บทว่า อาภสฺสรา ชื่อว่า อาภัสสระ เพราะรัศมีจากสรีระของ
เทพเหล่านั้น ย่อมแล่นออกดุจขาดตกลงเหมือนเปลวคบเพลิงฉะนั้น.
บรรดาอาภัสสรเทพเหล่านั้น เทพผู้เกิดขึ้นเพราะเจริญฌานสองคือปริตต-
ทุติยฌานและปริตตตติฌานในปัญจกนัย ชื่อว่า ปริตตาภา. เทพผู้เกิด
ขึ้นเพราะเจริญมัชฌิมฌาน ชื่อว่า อัปปมาณาภา. เทพผู้เกิดขึ้นเพราะ
เจริญปณีตฌาน ชื่อว่า อาภัสสรา. แต่ในที่นี้มุ่งหมายเอาเทพทั้งหมด
ด้วยการกำหนดอย่างอุกฤษฏ์. เพราะว่ากายของเทพเหล่านั้นทั้งหมด
มีรัศมีซ่านออกเป็นอย่างเดียวกัน. แต่สัญญาต่าง ๆ กัน คือไม่มีวิตก
มีเพียงวิจาร และไม่มีทั้งวิตกทั้งวิจาร. บทว่า สุภกิณฺหา คือ เทพที่
เต็มไปด้วยความงาม. อธิบายว่า มีรัศมีเป็นกลุ่มเดียวกัน ด้วยสีของ

รัศมีจากกายงาม. เพราะรัศมีของเทพเหล่านั้นขาดแล้ว ๆ ไม่เหมือนของ
อาภัสสรเทพทั้งหลาย. เทพปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา เกิด
ด้วยอำนาจแห่งฌานที่เป็นปริตตฌาน มัชฌิมฌาน และปณีตฌาน แห่ง
ตติยฌานในจตุกนัย แห่งจตุตถฌานในปัญจกนัย. ทวยเทพทั้งหมดเหล่า
นั้น พึงทราบว่า มีกายอย่างเดียวกัน และมีสัญญาอย่างเดียวกันด้วย
จตุตถฌานสัญญา แม้พวกเทพ เวหัปผลา ก็ย่อมเสพวิญญาณฐิติที่ 4.
อสัญญสัตว์ คือสัตว์ที่ไม่มีสัญญา ไม่สงเคราะห์เข้าในที่นี้ แต่สงเคราะห์
เข้าในสัตตาวาส. เทพสุทธาวาสทั้งหลายดำรงอยู่ในฝ่ายวิวัฏฏะ ไม่เป็นไป
ตลอดกาลทั้งหมด ไม่เกิดในโลกในกาลที่ว่างจากพระพุทธเจ้าแสนกัปบ้าง
อสงไขยกัปบ้าง เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติขึ้นในระหว่าง 16,000 กัป
เทพเหล่านั้นจึงเกิด. เป็นเช่นกับค่ายพักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังพระ-
ธรรมจักรให้เป็นไป. เพราะฉะนั้น เทพเหล่านั้นจึงไม่เสพวิญญาณฐิติ
ไม่เสพสัตตาวาส.
ฝ่าย พระมหาสีวเถระ กล่าวว่า แม้เทพสุทธาวาสทั้งหลายก็เสพ
วิญญาณฐิติที่ 4 และสัตตาวาสที่ 4 ด้วย พระสูตรนี้ว่า1 ดูก่อนสารีบุตร
ที่อยู่ใดอันเราไม่เคยอยู่โดยกาลยาวนานเว้นแต่เทพชั้นสทธาวาส ที่อยู่นั้น
ไม่ใช่โอกาสที่ใคร ๆ จะได้โดยง่าย. พระสูตรถูกต้องเพราะไม่ขัดกันกับ
สูตรนี้.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา
สัตว์ทั้งหลายก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดังต่อไปนี้. บทว่า
สพฺพโส คือ โดยอาการทั้งปวงหรือแห่งรูปสัญญาทั้งปวง. บทว่า รูป-
1. ทีฆนิกา มหาวรรค 10/ข้อ 54.

สญฺญานํ คือ แห่งรูปาวจรฌานดังที่กล่าวแล้วด้วยธรรมเป็นหัวข้อคือ
สัญญา และอารมณ์แห่งรูปาวจรฌานนั้น. จริงอยู่ แม้รูปาวจรฌานท่าน
ก็กล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ ดังนี้ แม้อารมณ์
แห่งรูปาวจรฌานนั้นท่านก็กล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า พหิทฺธา รูปานิ
ปสฺสติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ
ดังนี้. เพราะฉะนั้น บทว่า รูปสญฺญานํ นี้
จึงเป็นชื่อของรูปาวจรฌานด้วยธรรมเป็นหัวข้อว่าสัญญาอย่างนี้ว่า สัญญา
ในรูปนี้ชื่อว่ารูปสัญญา ดังนี้. ชื่อว่ารูปสัญญา เพราะมีรูปเป็นสัญญา. ท่าน
กล่าวว่า รูปเป็นชื่อของฌานนั้น. พึงทราบว่า บทว่า รูปสญฺญานํ นี้
เป็นชื่อของอารมณ์ของรูปฌานนั้น มีประเภทแห่งปฐวีกสิณเป็นต้น. บท
ว่า สมติกฺกมา ก้าวล่วง คือเพราะปราศจากความกำหนัดเพราะดับ. ท่าน
อธิบายไว้ว่าอย่างไร. อธิบายไว้ว่า พระโยคาวจรเข้าอากาสานัญจายตนะ
เพราะวิราคะเป็นเหตุ เพราะนิโรธเป็นเหตุ เพราะปราศจากราคะ เพราะ
ดับรูปสัญญาอันได้แก่ฌาน 15 ด้วยอำนาจแห่งกุศล วิบาก และกิริยา ก็ดี
รูปสัญญาอันได้แก่อารมณ์ 8 ด้วยอำนาจแห่งปฐวีกสิณเป็นต้นเหล่านั้นก็ดี
รูปสัญญาที่เหลือโดยอาการทั้งปวงก็ดีย่อมอยู่. พระโยคาวจรไม่สามารถ
เข้าอากาสานัญจายตนฌานนั้น ด้วยการยังไม่ก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการ
ทั้งปวง. เพราะเมื่อยังไม่ปราศจากความกำหนัดในอารมณ์ จึงไม่เป็นอัน
ก้าวล่วงสัญญา อนึ่ง เมื่อก้าวล่วงสัญญา ก็เป็นอันก้าวล่วงอารมณ์ด้วย
เหมือนกัน ฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวการก้าวล่วงอารมณ์ แล้วกล่าวการก้าว
ล่วงสัญญาอย่างเดียวในวิภังค์อย่างนี้ว่า ในสัญญานั้น รูปสัญญาเป็นไฉน
ความจำ อาการจำ ความเป็นผู้จำ ของพระโยคาวจรผู้เข้าถึงรูปาวจรสมาบัติ
ก็ดี เกิดแล้วก็ดี ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันก็ดี เหล่านี้เรียกว่า

รูปสัญญา เป็นผู้ล่วง ก้าวล่วง ก้าวล่วงพร้อมซึ่งรูปสัญญาเหล่านี้ ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ก้าวล่วง
รูปสัญญาโดยประการทั้งปวงดังนี้. ก็เพราะสมาบัติเหล่านี้อันพระโยคาวจร
จะพึงบรรลุได้ด้วยการก้าวล่วงอารมณ์ ไม่พึงถึงได้ในอารมณ์อย่างหนึ่ง
เท่านั้น เหมือนการบรรลุรูปฌานมีปฐมฌานเป็นต้น ฉะนั้น พึงทราบว่า
นี้ท่านพรรณนาความแม้ด้วยสามารถการก้าวล่วงอารมณ์.
บทว่า ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา ดับปฎิฆสัญญา คือสัญญาอันเกิด
ขึ้นเพราะการกระทบของวัตถุมีจักษุเป็นต้น และของอารมณ์มีรูปเป็นต้น
ชื่อว่า ปฏิฆสัญญา. คำนี้ เป็นชื่อของรูปสัญญาเป็นต้น. ดังที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ปฏิฆสัญญาเป็นไฉน สัญญาในรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ เหล่านี้เรียกว่าปฏิฆสัญญา. การดับ การละ การไม่เกิดขึ้น
แห่งปฏิฆสัญญา 10 โดยประการทั้งปวง คือกุศลวิบากเหล่านั้น 5 อกุศล-
วิบาก 5 ท่านกล่าวว่ากระทำไม่ให้เป็นไปได้. ปฏิฆสัญญาเหล่านี้ย่อมไม่มี
แม้แก่ผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นต้นโดยแท้ เพราะในสมัยนั้นจิตย่อมไม่เป็นไป
ด้วยสามารถแห่งทวาร 5 แต่เมื่อเป็นอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความอุตสาหะ
ในฌานนี้ ดุจสุขและทุกข์ที่ละได้แล้วในจตุตถฌานและในที่อื่น และดุจ
ในสักกายทิฏฐิที่ละได้ในมรรคที่ 3 (อนาคามิมรรค) เป็นต้น พึงทราบ
คำในบทนี้แห่งปฏิฆสัญญาเหล่านั้น ด้วยอำนาจแห่งการสรรเสริญฌานนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ปฏิฆสัญญาเหล่านั้นย่อมไม่มีแก่ผู้เข้ารูปาวจรสมาบัติ
ก็จริง ที่แท้ไม่ใช่ไม่มี เพราะละแล้วก็หาไม่. จริงอยู่ รูปาวจรภาวนา
ย่อมไม่เป็นไป เพราะยังไม่คลายความยินดีในรูป และความเป็นไปแห่ง
รูปาวจรภาวนานี้ เพราะเนื่องด้วยรูป แต่ภาวนานี้ย่อมเป็นไปเพราะคลาย

ความยินดีในรูป. เพราะฉะนั้น ควรจะกล่าวว่าละปฏิฆสัญญาได้ในฌานนี้.
ไม่เพียงควรกล่าวอย่างเดียว ควรทรงไว้อย่างนี้โดยส่วนเดียวเท่านั้น.
เพราะยังละปฏิฆสัญญาเหล่านั้นยังไม่ได้ในก่อนจากนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า เสียงเป็นเสี้ยนหนามของผู้เข้าปฐมฌาน. ก็ในที่นี้ เพราะละ
ปฏิฆสัญญาได้แล้ว ความไม่หวั่นไหวและความหลุดพ้นเพราะสงบของ
อรูปสมาบัติทั้งหลาย ท่านจึงกล่าวว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรเข้าอรูป-
สมาบัติจึงไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินเสียงเกวียน 500 เล่มผ่านไป.
บทว่า นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ไม่มนสิการนานัตตสัญญา
คือสัญญาอันเป็นไปแล้วในอารมณ์ต่างกัน หรือสัญญาต่างกัน. เพราะ
สัญญาเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกไว้ในวิภังค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า
นานัตตสัญญาเป็นไฉน ความจำ อาการที่จำ ความเป็นผู้จำ ของมโน-
ธาตุที่พร้อมเพรียงกัน หรือของมโนจวิญญาณธาตุที่พร้อมเพรียงกันของผู้
ไม่เข้าสมาบัติ เหล่านี้เรียกว่า นานัตตสัญญา. สัญญาที่สงเคราะห์เข้าใน
มโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุของผู้ไม่เข้าสมาบัติ ย่อมเป็นไปในอารมณ์
ต่างกัน สภาวะต่างกัน มีรูปและเสียงเป็นต้น. อนึ่ง เพราะสัญญา 44
เหล่านี้ คือสัญญาในกามาวจรกุศล 8 สัญญาในอกุศล 12 สัญญาใน
กามาวจรกุศลวิบาก 11 สัญญาในอกุศลวิบาก 2 สัญญาในกามาวจร-
กิริยา 11 มีความต่างกัน มีสภาวะต่างกัน ไม่เหมือนกันและกัน ฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตสญฺญา มีสัญญาต่างกัน. การไม่ใส่ใจ การไม่
คำนึงถึง การไม่นำมา การไม่พิจารณาถึง ซึ่งนานัตตสัญญาเหล่านั้น
โดยประการทั้งปวง. เพราะพระโยคาวจรไม่คำนึงถึง ไม่ใส่ใจ ไม่พิจารณา
ถึงนานัตตสัญญาเหล่านั้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง เพราะในบทนี้ รูปสัญญาและปฏิฆสัญญาก่อนย่อมไม่มี แม้ใน
ภพอันเกิดด้วยฌานนี้ จะกล่าวไปไยถึงในกาลที่เข้าฌานนี้ในภพนั้น ฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวถึงความไม่มีแห่งนานัตตสัญญาเหล่านั้นแม้โดยส่วนสอง คือ
การก้าวล่วง 1 การดับ 1. ก็ในนานัตตสัญญาทั้งหลาย เพราะสัญญา
27 เหล่านี้ คือสัญญาในกามาวจรกุศล 8 สัญญาในกิริยา 9 สัญญาใน
กุศล 10 ย่อมมีในภพที่แล้วด้วยฌานนี้ ฉะนั้น พึงทราบว่าท่านกล่าวไว้ว่า
ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาเหล่านั้น. จริงอยู่ พระโยคาวจรเข้าฌานนี้อยู่
ชื่อว่าเข้าเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญาเหล่านั้น แต่เมื่อมนสิการนานัตต-
สัญญาเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ไม่เข้าสมาบัติ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว
การก้าวล่วงรูปสัญญาไว้ในที่นี้โดยย่อ ท่านกล่าวถึงการละรูปาวจรธรรม
ทั้งปวงด้วยบทนี้ด้วยประการฉะนี้. ด้วยบทนี้ว่า ดับปฏิฆสัญญา และไม่
มนสิการนานัตตสัญญา พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงการละและการไม่มนสิการ
จิตเจตสิกอันเป็นกามาวจรทั้งหมด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงคุณของอากาสานัญจายตนสมาบัติด้วย 3
บท คือด้วยการก้าวล่วงรูปสัญญา 15 ด้วยการดับปฏิฆสัญญา 10 ด้วย
ไม่มนสิการมานัตตสัญญา 44. หากถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า
เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความอุตสาหะและเพื่อเร้าใจ. เพราะหากว่า ชนบางพวก
ไม่เป็นผู้ฉลาดพึงกล่าวว่า พระศาสดาย่อมตรัสว่า ท่านทั้งหลาย จงยัง
อากาสานัญจายตนสมาบัติให้เกิดเถิด ตรัสถึงคุณของสมาบัติไว้ด้วยอาการ
เหล่านี้ว่า ชนทั้งหลายเหล่านั้น จงอย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็น
ประโยชน์เป็นอานิสงส์ของการเกิดนั้น. เพราะว่า ครั้นฟังชนเหล่านั้น
แล้วจักคิดอย่างนี้ว่า นัยว่าสมาบัตินี้สงบอย่างนี้ ประณีตอย่างนี้ เราจัก

ยังสมาบัตินั้นให้เกิด. ทีนั้น เพื่อให้สมาบัตินั้นเกิด ชนทั้งหลาย จึงจัก
ทำความอุตสาหะ. อนึ่ง เพื่อปลอบใจ พระองค์จึงตรัสถึงคุณของสมาบัติ
นั้นแก่ชนเหล่านั้น ดุจพ่อค้าขายวิสกัณฑกะ. พ่อค้าขายวิสกัณฑกะ ท่าน
เรียกว่า คุฬวาณิช (พ่อค้าน้ำอ้อยงบ).
เล่ากันมาว่า พ่อค้านั้นเอาเกวียนบรรทุกน้ำอ้อยงบน้ำตาลกรวดไป
ยังชายแดนแล้วโฆษณาว่า ท่านทั้งหลายจงซื้อวิสกัณฑกะ วิสกัณฑกะ
กันเถิด. ชาวบ้านได้ฟังดังนั้นจึงคิดกันว่า ธรรมดาวิสะ( ยาพิษ)ร้ายมาก
ผู้ใดกินวิสะเข้าไป ผู้นั้นย่อมตาย แม้กัณฑกะ (ลูกศร) ยิงแล้วก็ให้ตาย
ได้ ทั้งสองอย่างร้ายทั้งนั้น เมื่อโฆษณาขาย อานิสงส์อะไรจักมีในการ
โฆษณานี้ จึงปิดประตูเรือนพาเด็ก ๆ หนีไป. พ่อค้าเห็นดังนั้นจึงคิดว่า
ชาวบ้านเหล่านี้ไม่เป็นผู้ฉลาดในโวหาร ช่างเถิดเราจะให้เขาซื้อด้วยอุบาย
จึงโฆษณาว่า พวกท่านทั้งหลาย จงซื้อของหวานมีรสอร่อย ท่านจะได้
น้ำอ้อย น้ำอ้อยงบ น้ำตาลกรวดในราคาถูก ท่านจะซื้อได้ในราคามาสก
เดียว กหาปณะเดียว. ชาวบ้านได้ฟังดังนั้นพากันยินดี พากันออกไปซื้อ
ตามราคาเป็นอันมาก. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านทั้งหลาย
จงยังอากาสานัญจายตนสมาบัติให้เกิดขึ้น ดุจการโฆษณาของพ่อค้าว่า
ท่านทั้งหลายจงซื้อวิสกัณฑกะกันเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ท่าน
ทั้งหลายจงยังอากาสานัญจายตนะให้เกิดเถิด ความคิดของผู้ฟังทั้งหลายว่า
จะเกิดอานิสงส์อะไรในข้อนี้ พวกเรายังไม่รู้คุณของอากาสานัญจายตนะ
นั้นเลย ดุจความคิดของชาวบ้านว่า แม้ทั้งสองอย่างร้ายแรงมากในการ
โฆษณาจะเกิดผลดีในการโฆษณานี้ได้อย่างไร การประกาศอานิสงส์มีการ
ก้าวล่วงรูปสัญญาเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจถ้อยคำโฆษณาของ

พ่อค้านั้นมีอาทิว่า ท่านทั้งหลายจงซื้อของหวานมีรสอร่อยกันเถิด จิตที่
ได้รับการปลอบด้วยอานิสงส์นี้ ทำความอุตสาหะใหญ่แล้วยังสมาบัตินี้ให้
เกิด ดุจชาวบ้านเหล่านั้นครั้นฟังโฆษณาอย่างนี้แล้ว ก็พากันซื้อน้ำอ้อยงบ
ได้ตามราคาเป็นอันมาก. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อให้เกิดอุตสาหะ และ
เพื่อเร้าใจด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า อากาสานญฺจายตนูปคา เข้าถึงอากาสา-
นัญจายตะดังนี้เป็นต้นต่อไป. ชื่อว่า อนนฺตํ เพราะอากาศไม่มีที่สุด.
อากาศไม่มีที่สุดชื่อว่า อากาสานนฺตํ. อากาศไม่มีที่สุดนั่นแลชื่อว่า อากา-
สานญฺจํ.
อากาศไม่มีที่สุดนั้นชื่อว่า อากาสานญฺจายตนํ เพราะเป็นบ่อ
เกิดแห่งฌานพร้อมด้วยสัมปยุตธรรม ด้วยอรรถว่าตั้งมั่นดุจเทวสถานของ
เทวดาทั้งหลายฉะนั้น. คำนี้เป็นชื่อของ กสิณุคฆาติมากาส อากาศที่เพิก
กสิณแล้ว. ในอากาสานัญจายตนะนั้น ชนทั้งหลายยังฌานให้เกิดแล้วเข้า
ถึงอากาสานัญจายตนภพด้วยอำนาจแห่งปฏิสนธิ ชื่อว่า อากาสานญฺจา-
ยตนูปคา.
ในบทต่อจากนี้ไป จักพรรณนาเพียงบทที่ต่างกันเท่านั้น.
พึงทราบความในบทนี้ว่า อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมา ก้าว
ล่วงอากาสานัญจายตนะดังนี้ต่อไป. ชื่อว่า อากาสานัญจายตนะ เพราะ
อายตนะมีอากาศไม่มีที่สุด ด้วยอรรถว่าอธิษฐานไว้ตามนัยดังได้กล่าวมา
แล้วในตอนก่อน แม้อารมณ์ก็เป็นทั้งฌานเป็นทั้งอารมณ์โดยนัยดังกล่าว
แล้ว ด้วยเหตุนั้น ไม่ก้าวล่วงแม้ทั้งสองอย่าง ด้วยไม่กระทำให้เป็นไป
และด้วยไม่ใส่ใจ. เพราะควรเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะนี้ ฉะนั้น ควรทำทั้ง
สองอย่างนี้ให้เป็นอันเดียวกัน และก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ พึงทราบ
ว่าข้อนี้ได้กล่าวแล้ว.

อนึ่ง พึงทราบความในบทว่า วิญฺญาณญฺจายตนูปคา นี้ต่อไป.
ชื่อว่า อนนฺตํ เพราะมีวิญญาณไม่มีที่สุด ด้วยอำนาจแห่งการควรมนสิการ
ไม่มีที่สุด. วิญญาณไม่มีที่สุดนั่นเอง ชื่อว่า อานญฺจํ. วิญญาณไม่มีที่สุด
ไม่กล่าวว่า วิญฺญาณานญฺจํ กล่าวว่า วิญฺญานญฺจํ. นี้เป็น รุฬหิ ศัพท์
(ศัพท์เพิ่มขึ้น). ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่า ตั้งมั่นซึ่งวิญญาณไม่มี
ที่สุดนั้นนั่นแล ชื่อว่าวิญญานัญจายตนะ สัตว์ทั้งหลายยังฌานให้เกิดใน
วิญญาณัญจายตนะนั้น แล้วเข้าถึงวิญญาณัญจายตนภพ เพราะเหตุนั้น จึง
ชื่อว่า วิญฺญาณญฺจายตนูปคา.
แม้ในบทนี้ว่า วิญฺญานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ก็พึงทราบความ
ต่อไปนี้. แม้ฌานก็ชื่อว่าวิญญาณัญจายตนะ เพราะชื่อว่าอายตนะ เพราะ
อรรถว่า อธิษฐานไว้ซึ่งฌานนั้น มีวิญญาณไม่มีที่สุด โดยนัยดังได้กล่าว
แล้วในก่อน. แม้อารมณ์ ก็เป็นทั้งฌานเป็นทั้งอารมณ์ ตามนัยที่ได้กล่าว
แล้วนั่นแล ก้าวล่วงแม้ทั้งสองอย่าง ด้วยไม่ทำให้เป็นไปและไม่มนสิการ
ด้วยประการฉะนี้. เพราะควรเข้าถึงอากิญจัญญยตนะนี้ ฉะนั้น ทำทั้งสอง
นี้ให้เป็นอันเดียวกันแล้วก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ ด้วยเหตุนั้น พึง
ทราบว่าข้อนี้ท่านกล่าวไว้แล้ว.
อนึ่ง ในบทว่า อากิญฺจญฺญายตนูปคา นี้ พึงทราบความดังต่อ
ไปนี้. ชื่อว่า อกิญฺจนํ เพราะไม่มีเครื่องกังวล. ท่านกล่าวไว้ว่า ไม่มี
เครื่องกังวลเหลือโดยที่สุดแม้เพียงในภังคขณะ ความไม่มีเครื่องกังวลชื่อ
ว่า อากิญฺจญฺญํ. บทนี้เป็นชื่อของการปราศจากวิญญาณที่มีอากาสา-
นัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ ชื่อว่า อากิญฺจญฺญายตนํ. ชื่อว่าอายตนะ
เพราะอรรถว่า อธิษฐานซึ่งความไม่มีเครื่องกังวลนั้น. สัตว์ทั้งหลายยัง

ฌานให้เกิดในอากิญจัญญายตนะนั้น แล้วเข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ ชื่อ
ว่า อากิญฺจญฺญายตนูปคา. บทว่า อยํ สตฺตมี วิญฺญาณฏฺฐิติ นี้เป็น
วิญญาณฐิติที่ 7 คือย่อมรู้ฐานะของปฏิสนธิวิญญาณที่ 7 นี้. เพราะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ จะว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญณาณก็ไม่ใช่
เพราะวิญญาณละเอียดเหมือนสัญญา ฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวไว้ในวิญญาณ-
ฐิติ.
บทว่า อภูตํ ไม่จริง มีคำเป็นอาทิว่า รูปํ อตฺตา รูปเป็นตน
ดังนี้. คำนั้นไม่แท้เพราะวิปลาส. ชื่อว่าไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะ
เป็นทิฏฐินิสัย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อภูตํ คือ ไม่มี ไม่เป็น คำ
ของผู้ไม่ใช่โจรมีอาทิว่า ทรัพย์นี้นางโจรภรรยาของเจ้าลักมา ทรัพย์นี้
ไม่มีในเรือนของเจ้า. บทว่า อตจฺฉํ ไม่แท้ คือมีอาการไม่แท้ มี
อาการเป็นอย่างอื่น มีอยู่ด้วยประการอื่น. บทว่า อนตฺถสญฺหิตํ ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ คือไม่อาศัยประโยชน์ในโลกนี้ หรือประโยชน์
ในโลกอื่น. บทว่า น ตํ ตถาคโต พฺยากโรติ พระตถาคตไม่ทรง
พยากรณ์เรื่องนี้ คือพระตถาคตไม่ตรัสกถาอันไม่นำสัตว์ออกไปนั้น. บท
ว่า ภูตํ ตจฺฉํ อนตฺถสญฺหิตํ คำจริงแท้ไม่มีประโยชน์ เป็นดิรัจฉาน-
กถามีราชกถาเป็นต้น. บทว่า ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสญฺหิตํ คำจริงแท้มี
ประโยชน์ เป็นคำอิงอริยสัจ. บทว่า ตตฺร กาลญฺญู โหติ พระตถาคต
ทรงรู้จักกาลในเรื่องนั้น คือในการพยากรณ์ครั้งที่ 3 นั้น พระตถาคต
เป็นผู้รู้จักกาลเพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น. อธิบายว่า พระตถาคตทรงรู้กาล
ในการถือเอา กาลในการรับของมหาชนแล้ว ทรงกระทำให้สมกับ
เหตุการณ์ จึงทรงพยากรณ์อันสมควรนั่นเอง. ชื่อว่า กาลวาที เพราะ

กล่าวในกาลอันควร. ชื่อว่า ภูตวาที เพราะกล่าวสภาพที่เป็นจริง. ชื่อว่า
อตฺถวาที เพราะกล่าวถึงนิพพานอันเป็นปรมัตถ์. ชื่อว่า ธมฺมวาที
เพราะกล่าวถึงมรรคธรรมและผลธรรม. ชื่อว่า วินยวาที เพราะกล่าว
ถึงวินัยมีการสำรวมเป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐํ เห็นแล้ว คือย่อมรู้ย่อมเห็นอายตนะ
นั้นโดยอาการทั้งปวง ชื่อว่า รูปารมณ์อันมาสู่คลองในจักขุทวารของสัตว์
นับไม่ถ้วนในโลกธาตุอันหาประมาณมิได้มีอยู่. รูปายตนะนั้นอันผู้รู้ผู้เห็น
อย่างนั้นจำแนกด้วยนัย 52 ด้วยวาระ 13 ด้วยชื่อมิใช่น้อย โดยนัยมี
อาทิว่า รูปที่เรียกว่ารูปายตนะนั้นเป็นไฉน. รูปใดเป็นสีอาศัยมหาภูตรูป 4
เป็นธรรมชาติที่เห็นได้และกระทบได้ ได้แก่สีเขียวคราม สีเหลือง... ดังนี้
เป็นธรรมชาติมีอยู่จริง ไม่จริงไม่มี ด้วยอำนาจอิฐารมณ์และอนิฐารมณ์
หรือด้วยอำนาจการได้ในรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง ในกลิ่น รส โผฏ-
ฐัพพะ ที่ได้ทราบและในธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง. แม้ในเสียงเป็นต้นอันมาสู่
คลองในโสตทวารเป็นต้นก็มีนัยนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงอายตนะนั้นหลาย ๆ อย่าง จึง
ตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ทิฏฺฐํ สุตํ เห็นแล้ว ฟังแล้ว. ในบทเหล่านั้น
บทว่า ทิฏฺฐํ คือ รูปายตนะ. บทว่า สุตํ คือ สัททายตนะ. บทว่า
มุตํ รู้แล้ว คือ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ เพราะถึงแล้ว
จึงควรรับ. บทว่า วิญฺญาตํ ได้แก่ ธรรมารมณ์ มีสุขและทุกข์เป็นต้น.
บทว่า ปตฺตํ คือ แสวงหาก็ตาม ไม่แสวงหาก็ตาม ได้ถึงแล้ว. บทว่า
ปริเยสิตํ ถึงแล้วก็ตาม ไม่ถึงแล้วก็ตาม แสวงหาแล้ว. บทว่า อนุ-
1. อภิ. สํ. 34/ข้อ 521.

วิจริตํ มนสา คือ พิจารณาแล้วด้วยใจ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
อายตนะนั้นด้วยบทนี้ว่า ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํ อายตนะทั้งหมดนั้น
ตถาคตรู้พร้อมแล้ว. รูปารมณ์ใดมีอาทิว่า สีเขียว สีเหลือง ของโลก พร้อม
ทั้งเทวโลกนี้ ในโลกธาตุหาประมาณมิได้ ย่อมมาสู่คลองในจักขุทวาร
สัตว์นี้เห็นรูปารมณ์ชื่อนี้ ในขณะนั้นเกิดความดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เฉยๆ
บ้าง ด้วยเหตุนั้น ตถาคตรู้พร้อมรูปารมณ์นั้นทั้งหมด. อนึ่ง สัททารมณ์
ใดมีอาทิว่า เสียงกลอง เสียงตะโพน ของโลก พร้อมทั้งเทวโลกนี้ ใน
โลกธาตุอันหาประมาณมิได้ ย่อมมาสู่คลองในโสตทวาร, คันธารมณ์มี
อาทิว่า กลิ่นที่ราก กลิ่นที่เปลือก ย่อมมาสู่คลองในฆานทวาร, รสารมณ์
มีอาทิว่า มีรสที่ราก มีรสที่ลำต้น ย่อมมาสู่คลองในชิวหาทวาร, โผฏ-
ฐัพพารมณ์อันต่างด้วยปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ มีอาทิว่า แข็ง
อ่อน ย่อมมาสู่คลองในกายทวาร สัตว์นี้ถูกต้องโผฏฐัพพารมณ์ชื่อนี้ ใน
ขณะนี้ เกิดดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เฉย ๆ บ้าง ด้วยเหตุนั้น ตถาคตรู้
พร้อมซึ่งอารมณ์นั้นทั้งหมด. อนึ่ง ธรรมารมณ์มีประเภทเป็นสุขและทุกข์
เป็นต้น ของโลกพร้อมด้วยเทวโลกนี้ ในโลกธาตุหาประมาณมิได้ ย่อม
มาสู่คลองแห่งมโนทวาร สัตว์นี้รู้แจ้งธรรมารมณ์ชื่อนี้ ในขณะนี้ เกิดดีใจ
เสียใจ หรือเฉย ๆ ตถาคตรู้พร้อมธรรมารมณ์นั้นทั้งหมด. ดูก่อนจุนทะ
อายตนะใด อันสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เห็นแล้ว ฟังแล้ว รู้แล้ว รู้แจ้งแล้ว
อายตนะนั้น อันตถาคตไม่เห็นแล้ว ไม่ฟังแล้ว ไม่รู้แล้ว ไม่รู้แจ้งแล้ว
ไม่มี. อายตนะที่มหาชนนี้แสวงหาแล้วยังไม่ถึงบ้างมีอยู่ ไม่แสวงหาแล้ว
ยังไม่ถึงบ้างมีอยู่ แสวงหาแล้วถึงบ้างแล้วมีอยู่ ไม่แสวงหาแล้วถึงบ้างมี
อยู่ แม้ทั้งหมดตถาคตยังไม่ถึงยังไม่ทำให้แจ้งด้วยญาณไม่มี. เพราะฉะนั้น

บัณฑิตจึงกล่าวว่า เราเป็นตถาคต เพราะไปเหมือนอย่างที่ชาวโลกเขาไป
กัน. แต่ในบาลีกล่าวว่า อภิสมฺพุทฺธํ บทนั้นมีความเดียวกันกับ คต
ศัพท์. พึงทราบความแห่งบทนี้ว่า ตถาคโต ในวาระทั้งหมดโดยนัยนี้.
พึงทราบความในบทนี้ว่า ดูก่อนจุนทะ ณ ราตรีใด ตถาคตบรรลุ
สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม และราตรีใด ตถาคตปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในระหว่างนั้น ตถาคตกล่าว บอก ชี้แจงคำใด
คำทั้งหมดนั้นเป็นจริงทั้งนั้น ไม่เป็นโดยประการอื่น เพราะฉะนั้น
บัณฑิตจึงเรียกเราว่า ตถาคต ดังต่อไปนี้ ณ ราตรีใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ (บัลลังก์อันใคร ๆ ให้แพ้ไม่ได้)
ณ โพธิมณฑล ทรงย่ำยีมารทั้ง 3 เสียได้ แล้วตรัสรู้พระอนุตตรสัมมา-
สัมโพธิญาณ ณ ราตรีใด เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ในระหว่างต้นสาละทั้งคู่ ในระหว่างนี้ ในกาลมีกำหนด 45 พรรษา
ในปฐมโพธิกาลบ้าง มัชฌิมโพธิกาลบ้าง ปัจฉิมโพธิกาลบ้าง พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคำสอน คือ สุตตะ เคยยะ ฯ ล ฯ เวทัลละ ทั้งหมดนั้น
ทั้งโดยอรรถ ทั้งโดยพยัญชนะ ไม่มีข้อตำหนิ ไม่บกพร่อง ไม่เกิน
บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง กำจัดความมัวเมาด้วยอำนาจ ราคะ โทสะ
และโมหะ ในภาษิตนั้นไม่มีข้อผิดพลาดแม้เท่าปลายขนทราย ทั้งหมดนั้น
เป็นจริงแน่นอน ไม่จริงไม่มี ดุจประทับด้วยตราตราเดียว ดุจตวงด้วย
ทะนานเดียว และดุจชั่งด้วยตราชั่งเดียว ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนจุนทะ ณ ราตรีใด ตถาคต ฯ ล ฯ ทั้งหมด
นั้นเป็นจริงแท้แน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงเรียก
เราว่า ตถาคต
ดังนี้. คต ศัพท์ในบทว่า ตถาคโต นี้ มีความว่า

กล่าว. อีกอย่างหนึ่ง คำพูดชื่อว่า อคทะ ความว่า คำกล่าว. พึงทราบ
ความสำเร็จแห่งบทในความนี้ อย่างนี้ว่า ชื่อว่า ตถาคโต เพราะแปลง
อักษรเป็น อักษร ได้ความว่า เพราะมีพระดำรัสแท้ไม่วิปริต.
พึงทราบความในบทนี้ว่า ยถาวาที จุนฺท ฯ ล ฯ วุจฺจติ ดังต่อ
ไปนี้ พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าอนุโลมไปตามวาจา พระวาจา
อนุโลมไปตามกาย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็น ยถาวาที
(พูดอย่างใด) ตถาการี (ทำอย่างนั้น) และ ยถาการี (ทำอย่างใด)
ตถาวาที (พูดอย่างนั้น). อธิบายว่า แม้พระวรกายก็เป็นไปเหมือนพระ-
วาจาของพระองค์ซึ่งเป็นไปแล้วอย่างนั้น. พึงทราบบทสำเร็จในบทนี้
อย่างนี้ว่า ชื่อว่า ตถาคโต เพราะพระวาจาไปแล้ว เป็นไปแล้วเหมือน
พระวรกาย.
บทว่า อภิภู อนภิภูโต เป็นใหญ่ยิ่งอันใครๆครอบงำไม่ได้ คือ
พระตถาคต เบื้องบนถึงภวัคคพรหม เบื้องล่างถึงอเวจีเป็นที่สุด ทรง
ครอบงำสรรพสัตว์ในโลกธาตุทั้งหลาย อันหาประมาณมิได้โดยส่วนขวาง
ด้วยศีลบ้าง สมาธิบ้าง ปัญญาบ้าง วิมุตติบ้าง วิมุตติญาณทัสสนะบ้าง
จะชั่งหรือประมาณกับพระองค์ไม่มี พระตถาคตชั่งไม่ได้ ประมาณไม่ได้
เป็นผู้ยอดเยี่ยม เป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา
เป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ เป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม. บทว่า อญฺญ-
ทตฺถุ
โดยแท้ เป็นนิบาตลงใน เอกังสัตถะ มีความส่วนเดียว. ชื่อว่า
ทโส เพราะทรงเห็น. ชื่อว่า วสวตฺติ เพราะเป็นผู้ให้อำนาจเป็นไป.
พึงทราบบทสำเร็จในบทนั้นดังนี้ ชื่อว่า อคโท เป็นดุจยา. เป็น
อย่างไร พระตถาคตทรงมีลีลาในการแสดงธรรมอันจับใจ และทรงมี

บุญอันสะสมไว้แล้ว ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงทรงมีอานุภาพมาก ทรง
ครอบงำโลกพร้อมทั้งเทวโลกของผู้กล่าวติเตียนทั้งหมด ดุจแพทย์กำจัด
พิษงูด้วยยาทิพย์ฉะนั้น. พึงทราบว่า ชื่อว่า ตถาคโต เพราะแปลง ท
อักษรเป็น ต อักษร มีความว่า เพราะมียาคือลีลาการแสดง และการ
สะสมบุญแท้ไม่วิปริต ด้วยการครอบงำโลกทั้งหมดด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อิธฏฺฐญฺเญว ชานาติ กมฺมาภิสงฺขารวเสน ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรู้จักผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้ ด้วยอำนาจแห่งกรรมาภิ-
สังขาร คืออปุญญาภิสังขาร. บทว่า กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา เมื่อ
กายแตกตายไป คือเบื้องหน้าแต่ตายเพราะอุปาทินนกขันธ์แตก. พึงทราบ
ความในบทมีอาทิว่า อปายํ ดังต่อไปนี้. ชื่อว่า อปาโย เพราะปราศจาก
ความสุขความเจริญ. ชื่อว่า ทุตฺคติ เพราะเป็นที่ไปเป็นที่อาศัยของทุกข์.
ชื่อว่า วินิปาโต เพราะคนทำกรรมชั่วย่อมตกไปในอบายนี้. ชื่อว่า นิรโย
เพราะอรรถว่า ไม่มีความยินดี ไม่มีความชื่นใจ. เข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรกนั้น. บทว่า อุปปชฺชิสฺสติ คือ จักเกิดด้วยอำนาจแห่ง
ปฏิสนธิ. บทว่า ติรจฺฉานโยนึ กำเนิดดิรัจฉาน ชื่อว่า ติรจฺฉานา
เพราะสัตว์ไปขวาง. กำเนิดแห่งดิรัจฉานเหล่านั้น ชื่อว่า ติรจฺฉานโยนิ
เข้าถึงกำเนิดดิรัจฉานนั้น. บทว่า ปิตฺติริสยํ เปรตวิสัย ชื่อว่า ปิตฺติ-
วิสโย
เพราะเป็นที่อยู่ของผู้ถึงความเป็นเปรต. เข้าถึงเปรตวิสัยนั้น. ชื่อ
ว่า มนุษย์ เพราะมีใจสูง. ในมนุษย์เหล่านั้น. ต่อแต่นี้ไปพึงทราบความ
ด้วยสามารถแห่งปุญญาภิสังขาร ในบทนี้ว่า กมฺมาภิสงฺขารวเสน ดังนี้.
บทว่า อาสวานํ ขยา เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย คือ
เพราะอาสวะพินาศไป. บทว่า อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ เจโตวิมุตติอัน

หาอาสวะมิได้ คือผลวิมุตติที่ปราศจากอาสวะ. บทว่า ปญฺญาวิมุตฺตึ
ปัญญาวิมุตติ คือปัญญาในอรหัตผล. พึงทราบว่า สมาธิชื่อว่า เจโต-
วิมุตติ
เพราะสำรอกราคะ ปัญญาในอรหัตผล ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ
เพราะสำรอกอวิชชา.
อีกอย่างหนึ่ง อรหัตผลอันตัณหาจริตบุคคลบรรลุแล้ว เพราะข่ม
กิเลสทั้งหลายด้วยกำลังของอัปปนาฌาน ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอก
ราคะ. อรหัตผลอันทิฏฐิจริตบุคคลยังเพียงอุปจารฌานให้เกิด เห็นแจ้ง
แล้วจึงบรรลุ ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา.
อีกอย่างหนึ่ง อนาคามิผล ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ
ที่หมายถึงกามราคะ. อรหัตผล ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา
โดยประการทั้งปวง.
พึงทราบความในบทว่า อากิญฺจญฺญายตเน อธมุตฺติ วิโมกฺเขน
น้อมไปในอากิญจัญญายตนะด้วยวิโมกข์ ดังนี้ต่อไป. ชื่อว่าวิโมกข์ด้วย
อรรถว่ากระไร. ด้วยอรรถว่าพ้น. พ้นอะไร. พ้นด้วยดีจากธรรมเป็น
ข้าศึก และพ้นด้วยดีด้วยอำนาจความยินดียิ่งในอารมณ์. ท่านกล่าวไว้ว่า
วิโมกข์ย่อมเป็นไปในอารมณ์ เพราะสิ้นสงสัย เพราะไม่ติเตียน ดุจทารก
ปล่อยอวัยวะน้อยใหญ่ตามสบายนอนบนตักของบิดา. บทว่า เอวรูเปน
วิโมกฺเขน วิมุตฺตํ
พ้นแล้วด้วยวิโมกข์เห็นปานนี้ คือปล่อยวิญญานัญจา-
ยตนะแล้วจึงพ้น ด้วยอำนาจแห่งความไม่สงสัยในอากิญจัญญายตนะ.
บทว่า อลฺลินํ ตตฺราธิมุตฺตํ ไม่ติด คือน้อมไปในสมาธินั้น. บทว่า
ตทาธิมุตฺตํ คือ น้อมไปในฌานนั้น. บทว่า ตทาธิปเตยฺยํ คือ มี
ฌานนั้นเป็นใหญ่.

ห้าบทมีอาทิว่า รูปาธิมุตฺโต น้อมใจไปในรูปดังนี้ ท่านกล่าวด้วย
ความหนักในกามคุณ. สามบทมีอาทิว่า กุลาธิมุตฺโต น้อมใจไปใน
ตระกูล ท่านกล่าวด้วยความหนักในตระกูล มีกษัตริย์เป็นต้น. บทมี
อาทิว่า ลาภาธิมุตฺโต น้อมใจไปในลาภ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่ง
โลกธรรม. สี่บทมีอาทิว่า จีวราธิมุตฺโต น้อมใจไปในจีวร ท่านกล่าว
ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย. บทมีอาทิว่า สุตฺตนฺตาทิมุตฺโต น้อมใจไปใน
พระสูตร ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งพระไตรปิฎก. บทว่า อารญฺญิกง-
คาธิมุตฺโต
น้อมใจไปในองค์ของภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ท่านกล่าว
ด้วยอำนาจแห่งธุดงค์. บทมีอาทิว่า ปฐมชฺฌานาธิมุตฺโต น้อมใจไปใน
ปฐมฌาน ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งการได้เฉพาะ. บทว่า กมฺมปรายนํ
มีกรรมเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งอภิสังขาร. บทว่า
วิปากปรายนํ มีวิบากเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่ง
ความเป็นไป. บทว่า กมฺมครุกํ หนักอยู่ในกรรม คือหนักอยู่ในเจตนา.
บทว่า ปฏิสนฺธิครุกํ หนักอยู่ในปฏิสนธิ คือหนักอยู่ในการเกิด.
บทว่า อากิญฺจญฺญาสมฺภวํ เป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ
คือรู้กรรมาภิสังขารว่าเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ. รู้อย่างไร.
รู้ว่านี้เป็นปลิโพธ (ความห่วงใย). บทว่า นนฺทิสญฺโญชนํ อิติ มี
ความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบ คือรู้ว่า ความเพลิดเพลินกล่าวคือ
ราคะในอรูป 4 เป็นเครื่องประกอบ. บทว่า ตโต ตตฺถ วิปสฺสติ แต่นั้น
ก็พิจารณาเห็น (ธรรม) ในสมาบัตินั้น คือออกจากอากิญจัญญายตน-
สมาบัติแล้ว เห็นแจ้งสมาบัตินั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า
เอตํ ญาณํ ตถํ ตสฺส นั่นเป็นญาณอันเที่ยงแท้ของบุคคลนั้น คือนั่น

เป็นอรหัตญาณอันเกิดขึ้นแล้วตามลำดับ แก่บุคคลนั้นผู้เห็นแจ้งอยู่อย่างนี้.
บทว่า วุสีมโต คือ อยู่จบพรหมจรรย์. บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ด้วยธรรมเป็นยอด คือ
พระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
และเมื่อจบเทศนา ได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นกับที่กล่าวแล้วในครั้งก่อน.
จบอรรถกถาโปสาลมาณวกปัญหานิทเทสที่ 14

โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านโมฆราช


[490] (ท่านโมฆราชทูลถามว่า)
ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้งแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ มิได้ทรงพยากรณ์แก่
ข้าพระองค์ ได้ยินมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระ-
เทพฤๅษี (มีผู้ทูลถามปัญหา) เป็นครั้งที่ 3 ย่อมทรง
พยากรณ์.

[491] คำว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้ง
แล้ว
ความว่า พราหมณ์นั้นได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว 2
ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพราหมณ์นั้นทูลถามปัญหา ไม่ทรงพยากรณ์
ในลำดับแห่งพระจักษุว่า ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ของพราหมณ์นี้จักมี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สักกะ ในคำว่า สกฺก พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงผนวชจากศากยสกุล แม้เพราะเหตุดังนี้ จึงทรงพระนาม
ว่า สักกะ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก นับว่า
มีทรัพย์มาก แม้เพราะเหตุดังนี้ จึงทรงพระนามว่า สักกะ. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้นทรงมีทรัพย์เหล่านั้น คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล
ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์
คือปัญญา ทรัพย์คือสติปัฏฐาน ทรัพย์คือสัมมัปปธาน ทรัพย์คืออิทธิ-
บาท ทรัพย์คืออินทรีย์ ทรัพย์คือพละ ทรัพย์คือโพชฌงค์ ทรัพย์คือ